พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Power Plant).
                1. พลังงานความร้อนใต้พิภพคืออะไร
                2. พลังงานความร้อนใต้พิภพเกิดขึ้นได้อย่างไร
                3. ลักษณะของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่พบในโลก
                4. แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมีอยู่ในเขตใดบ้างในโลก
                5. หลักและวิธีการสำรวจเพื่อพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพโดยทั่วไป
                         5.1  การสำรวจทางธรณีวิทยา
                         5.2  การสำรวจธรณีเคมี
                                     5.3  การสำรวจธรณีฟิสิกส
                         5.4  การเจาะสำรวจ
                                     5.5  การเจาะหลุมผลิต
                6.  การนำเอาพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน
                7.   การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพพิจารณาในแง่เศรษฐศาสตร์
                8.   การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพในแง่ของสิ่งแวดล้อม
                9.   การสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศไทย
                                    การสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพที่อำเภอสันกำแพง
                                    การสำรวจแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ฝาง
                                    การสำรวจแหล่งอื่นๆ
                                    ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ
                10.  แนวโน้มของการนำเอาพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ในประเทศไทย
                11.  บทสรุป
 
              HOT LINK
                    Geothermal Power Plant in World Wide
                             General Introduction and Basic Course in Geothermal Resources
 
 
 


พลังงานความร้อนใต้พิภพ                     
GOTO TOP

1. พลังงานความร้อนใต้พิภพคืออะไร
            พลังงานความร้อนใต้พิภพ คือพลังงานธรรมชาติที่เกิดจากความร้อนที่ถูกกักเก็บอยู่ภายใต้ผิวโลก โดยปรกติแล้วอุณหภูมิภายใต้ผิวโลกจะเพิ่มตามความลึก กล่าวคือ ยิ่งลึกลงไปอุณหภูมิจะยิ่งสูงขึ้น และในบริเวณส่วนล่างของชั้นเปลือกโลก (Continental crust) หรือที่ความลึก 25-30 กิโลเมตร อุณหภูมิจะมีค่าอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยประมาณ 250-1,000 องศาเซลเซียส ในขณะที่จุดศูนย์กลางของโลกอุณหภูมิอาจจะถึง 3,500 - 4,500 องศาเซลเซียส

2. พลังงานความร้อนใต้พิภพเกิดขึ้นได้อย่างไร
            พลังงานความร้อนใต้พิภพ มักเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า Hot Spots คือบริเวณที่มีการไหลหรือแผ่กระจายของความร้อน จากภายใต้ผิวโลกขึ้นมาสู่ผิวดินมากกว่าปรกติ และมีค่าการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตามความลึก (Geothermal Gradient) มากกว่าปรกติประมาณ 1.5-5 เท่า เนื่องมาจากในบริเวณดังกล่าว ลักษณะทางธรณีวิทยาของเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่ทำให้เกิดแนวรอยแตกและรอยเลื่อนของชั้นหิน ปรกติแล้วขนาดของรอยเลื่อนที่ผิวดินจะใหญ่และค่อยๆ เล็กลงไปใต้ผิวดิน และเมื่อฝนตกลงมาในบริเวณนั้นก็จะมีน้ำบางส่วนไหลซึมลงไปใต้ผิวโลกตามรอยแตกดังกล่าว น้ำนั้นจะไปสะสมตัวแลัรับความร้อนจากชั้นหินที่มีความร้อนจนกระทั่งกลายเป็นน้ำร้อน และไอน้ำ แล้วจะพยายามแทรกตัวตามรอยเลื่อนรอยแตกของชั้นหินขึ้นมาบนผิวดิน และปรากฎให้เห็นในรูปของ บ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อน โคลนเดือด และก๊าซ


3. ลักษณะของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่พบในโลก              
GOTO TOP

แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่พบในโลกแบ่งเป็นลักษณะใหญ่ๆ ได้ 3 ลักษณะ คือ
        3.1 แหล่งที่เป็นไอน้ำส่วนใหญ่ (Steam Dominated) เป็นแหล่งกักเก็บความร้อนที่ประกอบไปด้วยไอน้ำมากกว่า 95% โดยทั่วไปมักจะเป็นแหล่งที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหินหลอมเหลวร้อนที่อยู่ตื้นๆ อุณหภูมิของไอน้ำร้อนจะสูงกว่า 240 องศาเซลเซียส ขึ้นไป แหล่งที่เป็นไอน้ำส่วนใหญ่นี้จะพบน้อยมากในโลกเรา แต่สามรถนำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากที่สุด เช่น The Geyser Field ในมลรัฐแคลิฟอร์นีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และ Larderello ในประเทศอิตาลี เป็นต้น

        3.2 แหล่งที่เป็นน้ำร้อนส่วนใหญ่ (Hot Water Dominted) เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนที่ประกอบๆไปด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ อุณหภูมิของน้ำร้อนจะมีตั้งแต่ 100 องศาเซลเซียส ขึ้นไป แหล่งที่เป็นน้ำร้อนส่วนใหญ่จะพบมากที่สุดในโลก เช่น Cerro Prieto ในประเทศเม็กซิโก และ Hatchubaru ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
        3.3 แหล่งหินร้อนแห้ง (Hot Dry Rock) เป็นแหล่งสะสมความร้อนที่เป็นหินเนื้อแน่น แต่ไม่มีน้ำร้อนหรือไอน้ำหมุนเวียนอยู่ ดังนั้นจะนำมาใช้ จำเป็นต้องอัดน้ำเย็นลงไปตามบ่อที่เจาะ ให้น้ำได้รับความร้อนจากหิน โดยหมุนเวียนภายในรอยแตกที่กระทำขึ้น จากนั้นก็ทำการสูบน้ำที่ร้อนนี้ขึ้นมาใช้โดยสูบจากบ่ออีกบ่อหนึ่ง ซึ่งเจาะลงไปให้ตัดกับรอยแตกดังกล่าว แหล่งหินร้อนนี้กำลังทดลองอยู่ที่ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ลอสอลามอส มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา


4. แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมีอยู่ในเขตใดบ้างในโลก                      
GOTO TOP
แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพจะมีอยู่ในเขตที่เปลือกโลกมีการเคลื่อนที่ เขตที่ภูเขาไฟยัง คุกรุ่นอยู่ และบริเวณที่ชั้นของเปลือกโลกบาง จะเห็นได้ว่าบริเวณแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่พบตามบริเวณต่างๆ ของโลก ได้แก่ประเทศที่อยู่ด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ประเทศต่างๆ บริเวณเทือกเขาหิมาลัย กรีซ อิตาลี่ และไอซ์แลนด์ เป็นต้น

Pic.  Wairakei   Newzealand
5. หลักและวิธีการสำรวจเพื่อพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพโดยทั่วไป                                    
GOTO TOP
            โดยที่บริเวณแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ มักจะมีบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อน ไอน้ำร้อน และก๊าซ ปรากฎให้เห็น แต่การที่จะนำพลังงานมาใช้ประโยชน์ได้มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของแหล่งกักเก็บ, อุณหภูมิ, ความดัน และลักษณะของแหล่งว่าประกอบไปด้วยน้ำร้อนหรือไอน้ำเป็นส่วนใหญ่ การที่จะทราบว่าแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพอยู่บริเวณไหน ที่ระดับความลึกประมาณเท่าไหร่ และอุณหภูมิที่ แหล่งกักเก็บประมาณเท่าไดนั้น จำเป็นต้องมีการสำรวจทั้งบนผิวดินและใต้ผิวดิน การสำรวจนี้ต้องดำเนินการหลายด้านประกอบกันคือ
5.1  การสำรวจทางธรณีวิทยา
        การสำรวจทางธรณีวิทยาคือการสำรวจเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของผิวดิน ดินและหินกับแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ การสำรวจทางธรณีวิทยาจะครอบคลุมพื้นที่ ประมาณ 50-100 ตารางกิโลเมตร โดยใช้แผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:15,000 หรือแล้ว แต่กรณี ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ของแหล่งพลังงานควงาม ร้อนใต้พิภพนั้นๆ
จุดประสงค์ของการสำรวจก็เพื่อที่จะทราบ
- ชนิดของชั้นหิน
- การวางตัวและการเรียงลำดับชั้นหิน
- อายุของหินทางธรณีวิทยา
- โครงสร้างทางธรณีวิทยาของชั้นหินต่างๆ
- บริเวณที่มีการแปรสภาพของชั้นดิน หิน อันเนื่องมาจากผลของพลังงานความ ร้อนใต้พิภพ ทั้งนี้เพื่อจะได้ประเมินชั้นหินที่จะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพ เพราะข้อมูล ดังกล่าวจะช่วยให้คาดคะเนได้ว่าแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนน่าที่จะอยู่บริเวณชั้นใด


5.2 การสำรวจธรณีเคมี                               
GOTO TOP
การสำรวจธรณีเคมีคือการสำรวจเพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ของคุณสมบัติทางเคมี ของน้ำ ก๊าซ ดิน และหิน กับแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ การสำรวจธรณีเคมีจะ กระทำ โดยเก็บตัวอย่าง น้ำร้อน น้ำ ก๊าซ ดิน และหิน บริเวณแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ และ บริเวณใกล้เคียง แล้วนำมาวิเคราะห์ในห้องทดลองหาส่วนประกอบและคุณสมบัติทางเคมี
จุดประสงค์ในการสำรวจธรณีเคมีนี้ก็เพื่อที่จะ
- หาขอบเขตที่ได้รับอิทธิพลจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ
- หาส่วนประกอบ คุณสมบัติทางเคมีเพื่อศึกษาการกัดกร่อน การเกิดตะกรันและผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม
- หาอุณหภูมิของแหล่งกักเก็บโดยประมาณจากผลที่วิเคราะห์ได้ โดยใช้ปริมาณของซิลิ กอนไดออกไซด์ (SiO2) หรือ โซเดียม (Na) โปแตสเซี่ยม (K) และแคลเซี่ยม (Ca) ใน การคำนวณ เป็นต้น
- ประเมินลักษณะทางธรณีวิทยาที่เป็นแหล่งกักเก็บตลอดจนการหมุนเวียนของ ของไหลใน ระบบพลังงานความร้อนใต้พิภพ
ผลของการสำรวจธรณีเคมีนี้ จะเป็นเครื่องชี้ถึงความเหมาะสมของการพัฒนาแหล่งพลังงาน ความร้อนใต้พิภพที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง
5.3 การสำรวจธรณีฟิสิกส์
การสำรวจธรณีฟิสิกส์ คือการวัดค่าทางฟิสิกส์ของชั้นหินหรือเปลือกโลกในบริเวณที่ทำการสำรวจ โดยใช้เครื่องมือเพื่อแปรค่าต่างๆ ที่ได้เป็นโครงสร้างธรณีวิทยาใต้ผิวดิน แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาแก้ปัญหาธรณีวิทยาในการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพ ค่าทางฟิสิกส์จะสามารถบอกได้ว่าบรเวณใดควรจะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงาน จึงสามารถนำค่าที่ได้ไปใช้ในการวางแผนสำรวจต่อไป
จุดประสงค์ของการสำรวจ
- เพื่อช่วยการสำรวจธรณีวิทยา โดยนำผลที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหาทางธรณีวิทยา
- เพื่อให้รู้โครงสร้างธรณีวิทยาที่คาดว่าจะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพ
การสำรวจธรณีฟิสิกส์สำหรับการสำรวจแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพแบ่งได้ดังนี้
- การวัดค่าแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity Survey) เพื่อหาโครงสร้างของชั้นหินหรือเปลือก โลก
- การวัดค่าสนามแม่เหล็ก (Magnetic Survey) เพื่อหาโครงสร้างของชั้นหินหรือเปลือกโลก ขอบเขตของหินอัคนี และขอบเขตของชั้นหินที่เปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากอิทธิพลของ พลังงานความร้อนใต้พิภพ
- การวัดค่าคลื่นความสั่นสะเทือน (Seismic Survey) เพื่อหาความหนาของชั้นหินแต่ละชนิด สร้างของชั้นหินหรือเปลือกโลก ตลอดจนรอยเลื่อน (Fault) และรอยแตก (Fracture) ของชั้นหิน
- การวัดค่าความต้านทานทางไฟฟ้า (Resistivity Survey) เพื่อหาความหนาของชั้นหิน ตลอดจนโครงสร้างของชั้นหินและเพื่อหาบรอเวณที่ควรจะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานความ ร้อนใต้พิภพ


5.4 การเจาะสำรวจ                             
GOTO TOP
การเจาะสำรวจคือการเจาะลงไปใต้ผิวดินเพื่อวัดหรือตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากการสำรวจต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การที่จะเจาะลึกแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ต้องการจะวัดและตรวจสอบ โดยทั่วไปมีตั้งแต่ 50 เมตรขึ้นไป การเจาะสำรวจแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพจะใช้เครื่องเจาะสำรวจเช่นเดียวกับที่ใช้เจาะสำรวจน้ำมัน เครื่องเจาะนี้ส่วนมากเปลี่ยนหัวเจาะในลักษณะต่างๆ ได้ตามต้องการ ความสามารถของเครื่องเจาะในปัจจุบันสามารถเจาะลึกไปได้ถึงประมาณ 5,000 เมตร
จุดประสงค์ของการเจาะสำรวจคือ
- เพื่อตรวจสอบสมมุติฐานต่างๆ ทางธรณีวิทยา
- วัดค่าฟิสิกส์ในหลุมเจาะเพื่อตรวจข้อมูลต่างๆ
- วัดอัตราการไหลของความร้อน (Heat Flow) และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงตามระดับความ ลึก (Geothermal,Gradient)
- เพื่อหาบริเวณที่คาดว่าจะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพ
การเจาะสำรวจมีอยู่ 2 วิธีคือ
- การเจาะเพื่อเก็บแท่งตัวอย่าง (Core Sample) จะเจาะโดยใช้หัวเจาะสำหรับเก็บตัวอย่างดิน และหิน ที่เรียกว่า Core Bit จากหลุมเจาะในระดับความลึกต่างๆ ที่ต้องการจะเก็บตัวอย่าง ซึ่ง Core Bit ก็มีหลายชนิดด้วยกัน การจะใช้ชนิดไหนก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของชั้นหดิน หรือหินที่จะเก็บตัวอย่าง
- การเจาะเพื่อเก็บตัวอย่างเศษดินหรือหิน (Cutting Sample) จะเจาะโดยใช้หัวเจาะที่บดดิน หรือหินให้เป็นเศษเล็กๆ จากหลุมเจาะในระดับความลึกต่างๆ ที่ต้องการ ซึ่งหัวเจาะ จำพวกนี้ก็มีหลายแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่จะใช้
 

 ในการเจาะหลุมสำรวจอาาจจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือทั้ง 2 วิธีในหลุมเจาะเดียวกันก็ได้  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ต้องการ  สำหรับการเจาะที่จะเก็บแท่งตัวอย่างนั้นปรกติแล้วจะใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการเจาะเพื่อเก็บตัวอย่างเศษดินหรือหิน ลัฏษณะของหลุมเจาะสำรวจจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหลุมใหญ่หรือเล็กแค่ไหน  จะจะใส่ท่อกรุพร้อมกับการลง Cement ระหว่างท่อกรุกับผนังหลุมเจาะ  เพื่อป้องกันไม่ให้ผนังของหลุมเจาะพังและน้ำจากชั้นหินเข้าในหลุมเจาะหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสภาพทางธรณีในหลุมเจาะและข้อมูลต่างๆ  ที่ต้องการ

5.5  การเจาะหลุมผลิต                                    GOTO TOP
 หลุมผลิตคือ หลุมที่สามรถเจาะผ่านเข้าไปในแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพ  และสามารถนำพลังงานดังกล่าวขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้
 การเจาะหลุมผลิต  จะสามารถดำเนินการได้หลังจากที่ได้ทราบข้อมูลทั้งหมดที่ได้สำรวจมาประเมินหาบริเวณที่ควรจะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพเรียบร้อยแล้ว  ก่อนที่จะเจาะต้องเตรียมกำหนดตำแหน่งหลุมเจาะ  กำหนดแผนการเจาะ กำหนดขนาดและความลึกของหลุมเจาะ  พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์การเจาะต่างๆ  ซึ่งอุปกรณ์และวิธีการเจาะคล้ายกับการเจาะสำรวจน้ำมัน  แตกต่างกันที่อุณหภูมิของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ  และวิธีการนำขึ้นมาใช้ประโยชน์เท่านั้น

วัตถุประสงค์ของการเจาะหลุมผลิตนี้ คือ
 เพื่อเจาะให้ถึงแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพและเพื่อนำพลังงานความร้อนใต้พิภพขึ้นมาใช้ประโยชน์

การเจาะหลุมผลิตมีรายละเอียดดังนี้
 -  เจาะแบบ Rotary Drilling คือการเจาะโดยใช้เครื่องเจาะที่มีแกนหมุน  และขนาดของหลุม    จะเล็กลงตามความลึก
 -  ลงท่อกรุ และซีเมนต์  ระหว่างผนังหลุมเจาะและท่อกรุเพื่อป้องกันไม่ให้ผนังหลุมพังและ    ป้องกันน้ำจากชั้นหินไหลเข้าไปในหลุมเจาะ  ปูนซีเมนต์ที่ใช้จะเป็นชนิดที่สามารถใช้งาน    กับอุณหภูมิสูง  เพราะหลุมผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพมีอุณหภูมิประมาณ  180-250     องศาเซลเซียส
 -  ที่ชั้นของแหล่งกักเก็บจะใส่ท่อที่มีรูพรุน (Slotted Tube)  หรือไม่ขึ้อยู่กับชั้นหินที่เป็น    แหล่งกักเก็บนั้น
 -  ติดตั้งอุปหรณ์ที่ปากหลุมเจาะ (Well Equipment) เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลและใช้งานได้    เมื่อต้องการ
 จากผลของการเจาะหลุมผลิต  ในบางกรณีก็อาจจะพบแหล่งที่ไม่สามารถผลิตน้ำร้อนได้  เพียงแต่พบว่ามีอุณหภูมิสูงเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาของแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพแต่ละแหล่ง

6.  การนำเอาพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน                             GOTO TOP
 การนำเอาพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ประโยชน์มีมาเป็นเวลานานแล้ว  ทั้งด้านเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม  โดยในประเทศที่อยู่ในเขตภูมิอากาศอบอุ่น  เช่น ประเทศอิตาลี  ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา  เป็นต้น  การจะนำพลังงานความร้อนใต้พิภพไปใช้ประโยชน์ในด้านไหนก็ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของพลังงานความร้อนใต้พิภพ  ดังแสดงใน ตาราง 1.
 6.1  ด้านเกษตรกรรม
        ประเทศที่อยู่ในเขตอากาศอบอุ่นได้มีการนำเอาพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ทางด้านการเกษตรอย่างแพร่หลาย  โดยเฉพาะในบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงกับแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ  โดยการต่อท่อรับไอน้ำหรือน้ำร้อนที่ผ่านการใช้งานในโรงไฟฟ้า  หรือจากหลุมผลิตที่เจาะเพื่อการเกษตรกรรมโดยเฉพาะ  ไปยังบริเวณฟาร์มเลี้ยงสัตว์หรือเรือนกระจก  (Green House) สำหรับปลูกพืชเมืองร้อน  เพื่อนำไอน้ำหรือน้ำร้อนดังกล่าวไปควบคุมอุณหภูมิ  ให้เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยง  หรือพืชที่เพาะปลูก  ซึ่งสามารถทำให้เกษตรกรประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้ตลอดทั้งปี  เช่น ประเทศ นิวซีแลนด์  ญี่ปุ่น  อิตาลี่ฯ
6.2  ด้านการอุตสาหกรรม
        ประเทศต่างๆที่มีแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพได้พยายามสำรวจและพัฒนามาใช้ในด้านอุตสาหกรรม  ซึ่งพลังงานความร้อนใต้พิภพนี้สามารถพัฒนามาใช้กับอุตสาหกรรมได้หลายประเภท  เช่น  ห้องเย็น  โดรงงานกระดาษ  โรงงานน้ำตาล  โรงบ่มซีเมนต์  การท่องเที่ยว  และโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า  เป็นต้น
    6.2.1  ด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  ในหลายๆ  ประเทศที่มีแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้ความสนใจไปท่องเที่ยวเพื่อชมทิวทัศน์  ชมการใช้ประโยชน์จากพลังงานดังกล่าว  ทั้งด้านเกษตรกรรม  อุตสาหกรรม  ตลอดจนไปอาบน้ำแร่และอบไอน้ำร้อน  การที่นยักท่องเที่ยวนิยมอาบน้ำแร่และอบไอน้ำร้อน  เพราะทางการแพทย์มีความเห็นว่า  จะทำให้การหมุนเวียนของโลหิตดีขึ้น  และสามารถรักษาโรคผิวหนังบางประเภทได้  เนื่องจากมีสารกำมะถันอยู่ในส่วนประกอบของน้ำแร่  อุณหภูมิของน้ำแร่ที่ใช้อาบคือ  40-43  องศาเซลเซียส
    6.2.2  ด้านอุตสาหกรรมการผลิตกระแสไฟฟ้า  พลังงานความร้อนใต้พิภพ  เป็นพลังงานธรรมชาติซึ่งสามารถพัฒนามาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้  เป็นครั้งแรกที่เมือง  Laderello  ประเทศอิตาลี่  เมื่อ  80 ปีมาแล้ว  และปัจจุบันนี้ประเทศต่างๆ  ที่มีแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถสำรวจและพัฒนาขึ้นมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากมาย  และที่อยู่ระหว่างการพัฒนาก็มีอีกหลายๆ  ประเทศ  ในปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพของประเทศต่างๆ  ทั่วโลกกว่า 130 แห่ง  กำลังผลิตรวมประมาณ  3,200  เมกะวัตต์  ประเทศที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพได้มากที่สุดคือประเทศสหรัฐอเมริกา  รองลงมาได้แก่ฟิลิปปินส์

วิธีการนำมาใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า                 
        แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ  ที่สามารถนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ต้องมีอุณหภูมิที่แหล่งกักเก็บไม่น้อยกว่า  180.0  องศาเซลเซียส  ทั้งนี้เป็นแบบของโรงไฟฟ้าที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่  โดยใช้ไอน้ำที่ได้จากแหล่งพลังงานไปขับกังหันไอน้ำ  (Steam Turbine)  เพื่อนำพลังงานที่ได้ไปผลิตกระแสไฟฟ้า
สภาพของพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ได้มาจากการเจาะหลุมผลิตจะเป็นไอน้ำร้อน  และน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิ  ที่แหล่งกักเก็บมากกว่า  180.0  องศาเซลเซียส และความดัรมากกว่า 10 บรรยากาศ  การนำไปใช้ก็จะต่อท่อรับไอน้ำร้อน  และน้ำร้อนจากหลุมผลิตไปยังโรงไฟฟ้าโดยผ่านเครื่องแยกไอน้ำร้อนออกจากน้ำร้อน  (Separator)  แล้วจึงส่งเฉพาะไอน้ำเข้าโรงไฟฟ้าไปขับกังหัน  และไอน้ำร้อนผ่านกังหันแล้วก็จะต้องผ่านขบวนการที่ทำให้อุณหภูมิลดลง  จนกระทั่งสามารถปล่อยทิ้งได้  ส่วนน้ำร้อนที่แยกออกจากไอน้ำร้อนนั้น  อาจจะอัดลงในหลุมเจาะที่ไม่ใช่หลุมผลิต กลับคืนลงไปใต้ผิวดินเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  หรืออาจจะทำให้อุณหภูมิลดลง  จนสามารถปล่อยทิ้งลงในแม่น้ำลำคลองได้โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ถ้าหลุมผลิตมีแค่  ไอน้ำร้อนเพียงอย่างเดียวก็จะส่งเข้าโรงไฟฟ้าได้ทันที   ในกรณีที่  อุณหภูมิของแหล่งกักเก็บน้อยกว่า  180.0  องศาเซลเซียส  ถ้าจะนำพลังงานมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าก็สามารถทำได้โดยใช้วิธีแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger) ระหว่างวัตถุที่มีจุดเดือดต่ำเช่น  Freon กับไอน้ำและน้ำร้อน  ที่ได้จากพลังงานความร้อนใต้พิภพ  เมื่อวัตถุเหลวได้รับความร้อนก็จะขยายตัวและมีความดันเพิ่มขึ้นและสามารถนำไปขับกังหันให้หมุนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้

8.   การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพพิจารณาในแง่เศรษฐศาสตร์                              GOTO TOP
 ข้อมูลการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศต่างๆ เท่าที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพมีต้นทุนต่ำกว่าการใช้ถ่านหินและน้ำมัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตไฟฟ้า  ด้วยเหตุนี้ประเทศต่างๆ จึงพากันให้ความสนใจต่อการแสวงหาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ประโยชน์มากขึ้นเรื่อยๆ  จากการประเมินค่าใช้จ่าย ในการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ  พบว่าต้นทุนจะขึ้นอยู่กับขนาดของโรงไฟฟ้าที่ติดตั้ง  ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กต้นทุนจะสูงกว่าโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่  เช่น ถ้าติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพขนาด 5 เมกะวัตต์  ต้นทุนตฃจะประมาณ  1.34-1.60  บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง  แต่ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าขนาด  50  เมกะวัตต์  ต้นทุนจะลดลงเหลือประมาณ  0.64-0.77  บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง  ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเตาแล้ว  พบว่าถ้าติดตั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเตาขนาด  75  เมกะวัตต์  ต้นทุนเฉพาะค่าเชื้อเพลิงอย่างเดียวจะประมาณ  1.25  บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง  จึงเห็นได้ว่าการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพถูกกว่า

 ในการพัฒนาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ผลิตไฟฟ้า  มีปัจจัยที่ต้องพิจารณาดังนี้:.                      GOTO TOP
 1.   การสำรวจแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ  (Geothermal  Exploration)  จำเป็นต้องใช้นักวิชาการหลายกลุ่มคือ  นักธรณีวิทยา  นักธรณีฟิสิกส์  นักธรณีเคมี  นักอุทกธรณี  ช่วยกันวางแผนและกำหนดขั้นตอน  ในการสำรวจ  ดังนั้นต้องเตรียมพร้อมด้านบุคคลากรไว้
 2.   ค่าใช้จ่ายในการเจาะ (Drilling Cost) ขึ้นอยู่กับขนาดของแหล่ง  จำนวนหลุมเจาะ  ขนาดของหลุมที่เจาะ  ความลึกของหลุมเจาะ  ลักษณะทางธรณีวิทยาของแหล่ง  ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเป็นค่าเครื่องเจาะและอุปกรณ์ต่างๆ  ที่ใช้ในการเจาะ  เครื่องป้องกันความปลอดภัยจากน้ำร้อน  โคลนผง  ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง  และน้ำมันหล่อลื่น  ค่าวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ  ค่าแรงของบุคคลากร เช่น วิศวกร นักธรณีวิทยา  ช่างเจาะ  และคนงาน
 3.   ลักษณะและขนาดของหลุมเจาะ  (Bore Characteristic) ขึ้นอยู่กับความดันของ
แหล่งอุณหภูมิ  อัตราการไหล  พลังงานของน้ำร้อนหรือไอน้ำ  คุณภาพของน้ำร้อนหรือไอน้ำ  ความพรุนและความสามารถในการไหลผ่านได้ของของไหล (Porousity and Permeability)
 4.   การรวบรวมและส่งพลังงานความร้อนของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Fluid  collection and transmission) ขึ้อยู่กับการออกแบบและวางท่อ (Piping) การติดตั้งวาล์ว  การติดตั้งระบบแยกไอน้ำกับน้ำร้อน  การติดตั้งเครื่องเก็บเสียง  (Silencor) การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมและอุปกรณ์ความปลอดภัย  การวางท่อสำหรับปล่อยน้ำกลับลงไปในดิน
 5.   ขนาดของกำลังผลิต  (Electricity Potential)  จะพิจารณาจากอัตราการไหล  อุณหภูมิ ความดัน  ค่าความร้อนของน้ำ/ไอน้ำ  ประสิทธิภาพของการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนไปเป็นไฟฟ้า  ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการวางท่อ  การติดตั้งอุปกร์และเครื่องแยกน้ำร้อนและไอน้ำ  ชนิดและการออกแบบ ของเทอร์ไบน์และเครื่องควบแน่น  ขนาดของโรงไฟฟ้าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า  ถ้าขนาดใหญ่ ต้นทุนการผลิตต่อกิโลวัตต์ติดตั้งของโรงไฟฟ้าขะลดลง  ถ้าชนิดของโรงไฟฟ้าไม่ซับซ้อนต้นทุนโรงไไฟ้าก็จะถูก  แต่ถ้าซับซ้อนต้นทุนก็จะสูงขึ้น
 6.   ชนิดของโรงไฟฟ้าที่จะใช้  ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์สารเคมี  อุณหภูมิ  ความดัน  ค่าความร้อนของไอน้ำ/น้ำร้อน  ขนาดของแหล่ง  และการออกแบบของโรงไฟฟ้า  เช่นระบบโรงไฟฟ้า 2 วงจร  (Binary Cycle) ใช้กับแหล่งที่มี อุณหภูมิ  90-130  องศาเซลเซียส  หรือแหล่งที่มีอุณหภูมิสูง  แต่มีเปอร์เซ็นต์สารเคมีสูง  โรงไฟฟ้าชนิดที่แยกไอน้ำออกจากกัน (Frasher Power Plant) ใช้ในกรณีที่พบแหล่งที่มีทั้งน้ำร้อนและไอน้ำปนกัน หรือโรงไฟฟ้าร่วมระหว่างทั้งสองแบบ (Hybrid Power Plant) ก็อาจนำมาใช้ได้ถ้าเป็นแหล่งที่มีทั้งไอน้ำและน้ำร้อน
 7.   อัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเพิ่มของราคาน้ำมัน  ถ้าราคาขจองน้ำมันเพิ่มสูงกว่า อัตราเงินเฟ้อ การนำเอาพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้งานก็จะมีข้องได้เปรียบ แต่ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าก็จะเป็นข้อเสียเปรียบ
 8.   สถานการณ์พลังงานในประเทศ (Energy Simtuation) ถ้าเป็นประเทศนำเข้าพลังงาน  การพัฒนาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพก็มีความจำเป็นเพราะจะได้ลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ  และลดดุลย์การค้าและการชำระเงิน
 9.   ผลพลอยได้จากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal By-product) เช่นการนำน้ำร้อนที่ได้ไปใช้ในการเกษตร การอบแห้งหรือใช้ในการอุตสาหกรรม นอกจากนี้อาจจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย  ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบการพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ประโยชน์เพื่อให้คุ้มค้าในเชิงเศรษฐศาสตร์

8.   การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพในแง่ของสิ่งแวดล้อม                     GOTO TOP
 พลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้หลายด้านดังกล่าวแล้ว  อย่างไรก็ตาม  หากพิจารณาในแง่สิ่งแวดล้อมแล้วก็อาจจะมีผลกระทบได้เช่นเดียวกับการใช้พลังงานชนิดอื่นๆ ดังนั้นการนำมาใช้งานจึงต้องเตรียมการศึกษาป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไว้ด้วย  กระนั้นก็ตามเป็นที่น่ายินดีว่าการใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม  ผลกระทบที่จะมีก็เป็นเรื่องที่ป้องกันได้ดังที่ทำกันได้ผลมาแล้วในประเทศต่างๆ  ที่ใช้พลังงานชนิดนี้  ผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นและทางแก้ไขมีดังนี้ :-
 -   หากน้ำที่จากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมีสารเคมีเละลายอยู่การนำมาใช้ก็อาจจะมีผลกระทบต่อระบบน้ำบาดาล  หรือน้ำบนผิวดินที่ใช้ในทางการเกษตรหรือใช้อุปโภคบริโภคได้  วิธีการป้องกันคือ  ทำให้สารเคมีตกตะกอน  (Ponding and evaporation) เสียก่อนหรือเมื่อใช้น้ำแล้วอัดน้ำนั้นกลับคืนสู่ใต้ผิวดิน (Re-injection) เพื่อให้ไปอยู่ในชั้นหินที่ปลอดภัย
 -   อาจจะมีก๊าซประเภทที่ไม่รวมตัว  (Noncondensible gases) เช่น  ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และก๊าซอื่นๆ อยู่ที่แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ ซึ่งหากหายใจเข้าไปอาจจะทำให้ระบบหายใจขัดข้องได้ การป้องกันคือ หากพบว่ามีก๊าซเหล่านี้อยู่จะต้องเปลี่ยนสภาพของก๊าซให้เป็นกรด  โดยผ่านก๊าซเข้าไปในน้ำก็จะได้กรดซัลฟูริค  ซึ่งกรดนี้อาจจะนำไปใช้งานได้อีกด้วย
 -   เมื่อนำน้ำร้อนไปใช้แล้ว  น้ำที่ผ่านออกมาจากระบบอาจจะยังร้อนอยู่เพราะมี ความร้อนตกค้าง (Waste heat) ซึ่งหากปล่อยออกมาทันทีก็อาจจะมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมได้  วิธีแก้คือ  นำน้ำที่ยังร้อนอยู่ไปใช้ประโยชน์ในอีกกระบวนการหนึ่งที่ต้องการใช้น้ำร้อนที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า  เช่นการให้ความอบอุ่นในบ้านพัก ใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตรกรรม เป็นต้น
 -   อาจเกิดปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดิน  (Subsidence) ขึ้นได้  หากมีการสูบน้ำร้อนขึ้นมาใช้ในอัตราที่เร็วกว่าการอัดน้ำเย็นกลับคืนสู่ระบบ  วิธีการป้องกันคือ  อัดน้ำร้อนที่ใช้แล้ว  (หรือน้ำเย็นก็ได้) ลงไปใต้ดินในปริมาณที่สัมพันธ์ กับปริมาณที่สูบขึ้นมาใช้
 -   อาจจะเกิดปัญหาเรื่องเสียงในระยะที่มีการไล่ตะกอนในท่อไอน้ำ (Brow out) ซึ่งก็จะเกิดเฉพาะช่วงที่มีการไล่ตะกอนเท่านั้น
 -   อาจจะมีสารพิษที่มีอันตรายอยู่ในน้ำ  เช่น  สารหนู  สารปรอท  ซึ่งจะแก้ไขได้โดย ก่อนที่จะนำน้ำมาใช้จะต้องวิเคราะห์น้ำในแหล่งนั้นเสียก่อน  เพื่อความปลอดภัย  แต่โดยทั่วไปแล้วมักไม่มีปัญหานี้

9.   การสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศไทย                GOTO TOP
 9.1   ความเป็นมา
  แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟ  อันเขตที่มีแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ กักเก็บอยู่  แต่ก็ปรากฎว่ามีแหล่งน้ำพุร้อนกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ  รวมแล้วประมาณ  65  แห่ง    ในอดีต หน่วยงานหลายแห่งเคยสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพมาแล้วเป็นระยะๆ  เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494  แต่ไม่ต่อเนื่องกัน  ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสมัยนั้นปัญหาพลังงานมีไม่มากนัก  หน่วยงานที่เคยสำรวจ  พลังงานความร้อนใต้พิภพ    ในระยะเริ่มแรกได้แก่      กร มวิทยาศาสตร์     กรมทรัพยากรธรณี   มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   และสำนักงานพลังงานแห่งชาติร่วมกับคณะสำรวจจากประเทศนิวซีแลนด์

 9.2   การสำรวจในปัจจุบัน
  การสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพอย่างต่อเนื่อง  และมีเป้าหมายที่แน่นอน เริ่มขึ้นเมื่อปลายปี พ.ศ.  2520  โดยคณะทำงาน (Working Group) ซึ่งประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  กรมทัพยากรธรณี  และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  ทั้งนี้โดยมุ่งที่จะนำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
  คณะทำงานเริ่มขั้นแรกด้วยการรวบรวมข้อมูล  ที่มีอยู่และศึกษาลักษณะทางกายภาพของแหล่งน้ำร้อน  พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างน้ำร้อนจากแหล่งน้ำพุร้อนต่างๆ  ที่อยู่ในภาคเหนือประมาณ  40 แหล่ง  มาวิเคราะห์ผลการวิเคราะห์ขั้นต้นคาดว่าแหล่งน้ำพุร้อนในภาคเหนือที่อาจพัฒนามาใช้ประโยชน์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้มีอยู่อย่างน้อย  5  แหล่งได้แก่  แหล่งที่อำเภอฝาง  อำเภอแม่แตง  อำเภอสันกำแพง  อำเภอแม่แจ่ม  ในจังหวัดเชียงใหม่  และที่แหล่ง อำเภอแม่จัน  จังหวัดเชียงราย
 ในปี พ.ศ.  2523  ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานความร้อนจากสหรัฐอเมริกา  และญี่ปุ่น  ได้ให้ความสนใจโครงการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพ  และเดินทางมาประเมินผลการสำรวจร่วมกับคณะทำงานฝ่ายไทย  จากข้อมูลขั้นต้นที่รวบรวมไว้สรุปว่าควรที่จะสำรวจในขั้นรายละเอียดโดยพิจารณาเลือกแหล่งที่อำเภอสันกำแพง และอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่  เป็นแหล่งสำหรับดำเนินการเป็นอันดับแรก  และอันดับรองลงไป
 

 

-   การสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพที่อำเภอสันกำแพง                                   GOTO TOP
  แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพสันกำแพง อยู่ในบริเวณบ้านโป่งฮ่อม  ตำบลสหกรณ์  อำเภอสันกำแพง  ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 36 กิโลเมตร  ลักษณะของแหล่ง พลังงานอยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาซึ่งวางตัวในแนวตะวันตกเฉียงเหนือ ค่อนไปทางเหนือ  สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง  400 เมตร ลักษณะของแหล่งพุร้อนธรรมชาติเป็นบ่อเล็กๆ  ผุดขึ้นตามลำน้ำที่มีอยู่
 จากการสำรวจธรณีวิทยาบนพื้นดิน  การสำรวจธรณีวิทยา  โครงสร้างใต้ผิวดินด้วยวิธีการสำรวจทางฟิสิกส์ และการเจาะสำรวจ และคุณสมบัติทางเคมีของน้ำร้อนธรรมชาติ  และจากหลุมเจาะ ทำให้ทราบว่าแหล่งกักเก็บที่สันกำแพงมีอยู่ 3 ระดับคือ  ระดับแรกลึกไม่เกิน 100 เมตร  ระดับที่ 2  ลึกไม่เกิน  500 เมตร  และระดับที่ 3  คาดว่าจะอยู่ลึกมากกว่า 1000 เมตร จากระดับผิวดิน
 การที่จะพิสูจน์ผลการสำรวจที่ผ่านมา  รวมทั้งหาแหล่งกักเก็บน้ำร้อนว่าอยู่บริเวณใด  มีขนาดเล็กหรือใหญ่แค่ไหนจำเป็นต้องมีการเจาะสำรวจ  ดังนั้นในปี พ.ศ.  2521-2524  จึงได้มีการเจาะหลุมสำรวจที่ระดับความลึกไม่เกิน 100 เมตร  เพื่อศึกษาลักษณะทางกายภาพและลักษณะทางเคมีของน้ำร้อนระดับตื้น  ซึ่งอาจจะมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลต่างๆ  จำนวน  26 หลุม  ได้พบน้ำร้อน  8  หลุม  มีอัตราการไหล  2 ลิตร ต่อวินาที  มีอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส  ความดัน 0.5  บาร์  นอกจากนี้ยังได้เจาะหลุมสำรวจลึกระดับปานกลาง หรือลึกไม่เกิน 500 เมตร จำนวน 6 หลุม  และได้พบน้ำร้อนจำนวน 2 หลุมคือ หลุมที่ 2  และหลุมที่  6  โดยที่หลุมที่ 2 เป็นหลุมแรกที่คณะทำงานฯ ได้พบน้ำร้อนที่ระดับลึก  ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมการไหลของน้ำได้  ยังผลให้หลุมพังปิดชั้นน้ำ  หลังจากการทดสอบ  ปัจจุบันมีน้ำร้อนไหลออกมาเล็กน้อย  สำหรับหลุมที่  6  ได้พบชั้นน้ำร้อนที่ระดับความลึก  489  เมตร มีอุณหภูมิ  118 องศาเซลเซียส  ความดันที่ปากหลุม  3.5  บาร์  อัตราการไหลของน้ำร้อน  6-7  ลิตรต่อวินาที  ระหว่างการสำรวจคณะทำงานฯ  ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านอง๕การความร่วมมือช่วยเหลือแห่งญี่ปุ่น (Janpan International Co-operation Agency -JICA) ซึ่งได้ตกลงให้ความช่วยเหลือการสำรวจที่สันกำแพงเป็นเวลา  3 ปี  ในช่วงปี พ.ศ.  2524-2527  โดยได้ส่งผู้เชี่ยวชาญหลายคณะมาช่วยงานสำรวจและมอบรถพร้อมอุปกรณ์หยั่งธรณี (Logging Truck) เพื่อใช้ในการวัดข้อมูลต่างๆ  ในหลุมเจาะ  จากผลการสำรวจร่วมกับ JICA บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่จะพบแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพในระดับที่ค่อนข้างสูง  ทาง JICA จึงจัดส่งเครื่องเจาะและอุปกรณ์การเจาะ  ซึ่งเครื่องเจาะดังกล่าวมีขีดความสามารถในการเจาะได้ลึกถึง  2000 เมตร  เพื่อใช้สำหรับ เจาะหลุมขนาดลึกหลุมแรก  และมอบไว้ให้ใช้ในโครงการต่อไปด้วย
 เมื่อเดือน  กรกฎาคม  2527  การเจาะหลุมสำรวจลึกขนาดความลึก  1,500 เมตร  ได้เริ่มดำเนินการโดยคณะทำงานฯ  ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญการเจาะจากประเทศญี่ปุ่น  ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการเจาะสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศไทย  โดยคาดว่าจะพบแหล่งกักเก็บที่ระดับความลึกมากกว่า  1,000 เมตรลงไป  แต่ความจริงเมื่อเจาะผ่านระดับความลึก  1,000  เมตรลงไปจนถึง  1,227  เมตร  พบว่าเป็นหินเนื้อแน่นและแข็งมากประกอบกับอุณหภูมิที่ต่ำ  ( 100 องศาเซลเซียส ที่ความลึก 1,227 เมตร ) คณะทำงานฯ และผู้เชี่ยวชาญจาก  JICA  จึงเห็นพ้องต้องกันที่จะสละหลุมที่ความลึกดังกล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์  2528  หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมลึกหลุมแรกแล้ว  คณะทำงานฯ  ได้ร่วมประชุมกับผู้เชี่ยวชาญ JICA อีกครั้ง   โดยทาง  JICA เสนอทำการสำรวจธรณีเคมีเพิ่มเติมในบริเวณที่สนใจ  เพื่อตรวจสอบตำแหน่งรอยเลื่อนที่แน่นอน  พร้อมกันนี้คณะทำงานฯ  ได้ทำการเจาะหลุมความลึกขนาด  100  เมตร  จำนวน  14  หลุม  เพื่อตรวจสอบการไหลของความร้อนที่ระดับความลึกต่างๆกัน  ใต้ผิวดิน

หลังจากที่ได้ทำการประเมิน ผลการสำรวจใหม่แล้ว  ตำแหน่งหลุมสำรวจระดับลึกที่ 2  จึงถูกกำหนดขึ้นโดยมีเป้าหมายความลึก  1,500  เมตร  และ  1,300  เมตร  ตามลำดับ  งานเจาะได้เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่  13  พฤศจิกายน  2529   ปัจจุบันแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพสันกำแพงไม่สามารถพัฒนาเพื่อการผลิตการแสไฟฟ้าได้

 การสำรวจแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ฝาง                      GOTO TOP
 แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพฝาง  อยู่ในบริเวณบ้านโป่งน้ำร้อน  ตำบลโป่งน้ำร้อน  อำเภอฝาง  จังหวัดเชียงใหม่  ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ  150  กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงแผ่นดินเลขที่  107  และห่างจากตัวอำเภอฝางไปทางตะวันตก  ประมาณ  10  กิโลเมตร  แหล่งพลังงานนี้อยู่ในหุบเขาบริเวณห้วยแม่ใจวางตัวในแนวตะวันตกเฉียงเหนือค่อนไปทางเหนือ  สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง  500  เมตร  มีลักษณะเป็นที่ชื้นแฉะ (Swamp)  มีเศษหินขนาดใหญ่วางตัวระเกะระกะ  ลักษณะของน้ำร้อนธรรมชาติผุดขึ้นเป็นบ่อเล็กๆ  หลายบ่อ  บางบ่อมีการเดือดตลอดเวลา  ลักษณะทั่วๆไป  บนผิวดินพบแร่ แคลไซท์ซิลิกา  และซัลเฟท  ตกผลึกอยู่  การสำรวจที่ฝางเริ่มขึ้นเมื่อ  ปี พ.ศ.  2521  โดยดำเนินการไปพร้อมๆ กันกับที่สันกำแพง  ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพในระดับความลึกไม่เกิน  100  เมตร  ในการนี้ได้ทำการสำรวจทั้งสิ้น  5  หลุม  พบน้ำร้อน  4  หลุม  ซึ่งมีอุณหภูมิ  105.0 องศาเซลเซียส  ความดัน  0.5  บาร์   จากการสำรวจพบความร้อนสูงสุดในหลุมสำรวจที่ความลึก  40-60  เมตร  มีอุณหภูมิ  120.0  องศาเซลเซียส
 ในปี พศ.ศ  2527  ได้เจาะสำรวจเพื่อหาขอบเขตแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพระดับตื้น  โดยเจาะสำรวจหลุมลึก  50  เมตร  จำนวน  9  หลุม  พบน้ำร้อน  3  หลุม  ในระดับความลึกไม่เกิน  25  เมตร  จากการสำรวจและศึกษาปริมาณน้ำร้อนจากแหล่งฝางนี้  สรุปได้ว่าเป็นแหล่งพลังงานความร้อนที่ระดับตื้น  มีพลังงานเพียงพอสำหรับใช้กับโรงไฟฟ้าสาธิตระบบ  2  วงจร  ขนาดกำลังผลิต 200-300  กิโลวัตต์  ดังนั้นในปี พศ.ศ  2528  จึงได้เจาะหลุมผลิตพลังงานความร้อนที่ระดับความลึกไม่เกิน  100  เมตร  จำนวน  15  หลุม  เพื่อเตรียมการติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้า
 การเจาะสำรวจสิ้นไปเมื่อ ปีพ.ศ.  2529  พบน้ำร้อนที่ไหลอย่างต่อเนื่อง  5  หลุม  มีอุณหภูมิระหว่าง  110.0  -  130.0  องศาเซลเซียส  และมีอัตราการไหลรวมกัน  30  ลิตรต่อวินาที ซึ่งเพียงพอสำหรับการติดตั้งเครื่องผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพแบบ  2  วงจร  ขนาดประมาณ  300 - 500  กิโลวัตต์  ซึ่งได้เริ่มติดตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2531 และเริ่มขนานเครื่องครั้งแรกเมื่อ  5  ธันวาคม  2532
 นอกจากนี้ได้ดำเนินการเจาะหลุมตื้น  1-3  เมตร  เพื่อหาขอบเขตของแหล่งผลิตระดับตื้นด้วย

การสำรวจแหล่งอื่นๆ                                                    GOTO TOP
 นอกเหนือจากการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพแหล่งดังกล่าวแล้ว  คณะทำงานฯ  โดยความร่วมมือของ  Geothermal  Italiana  แห่งอิตาลี่  ยังได้ดำเนินการสำรวจแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพแหล่งอื่นๆ  อีก  8  แห่ง  ในเขตจังหวัดเชียงใหม่  เชียงราย  ลำปาง  แม่ฮ่องสอน  และแพร่  ซึ่งได้แก่  แหล่งน้ำพุร้อนอำเภอพร้าว  อำเภอดอยสะเก็ด  และอำเภอแม่แจ่ม  ในจังหวัดเชียงใหม่  แหล่งน้ำพุร้อน ป่าแป๋  อำเภอปาย  จังหวัดแม่ฮ่องสอน  และอำเภอแม่จันจังหวัดเชียงราย  อำเภอแจ้ห่ม  จังหวัดลำปาง  แหล่งน้ำพุร้อน อำเภอแม่สะเรียง  จังหวัดแม่ฮ่องสอน  และแหล่งน้ำพุร้อนอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่  ทั้งนี้โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก UNDP  (United  Nations Development Program)   จุดประสงค์ของการสำรวจก็เพื่อที่จะหาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่น่าสนใจ  และหาความเป็นไปได้ในการพัฒนามาใช้ประโยชน์  ด้านการอุตสาหกรรม  และการเกษตร  ผลการสำรวจขั้นต้น ทางธรณีวิทยา  และธรณีเคมี  ของทั้ง  8  แหล่ง  พอสรุปได้ว่าแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพทั้ง  8  แหล่งนั้นส่วนใหญ่มีอุณหภูมิในแหล่งกักเก็บระหว่าง  150.0 - 190.0  องศาเซลเซียส  และอาจมีบางแหล่งที่อุณหภูมิสูงถึง  200.0  องศาเซลเซียส  ที่ความลึกซึ่งสามารถเจาะลงไปได้โดยคุ้มค่าแก่การลงทุน  อย่างไรก็ตามจำเป็นที่จะต้องสำรวจในรายละเอียด  เพิ่มเติมทางด้านธรณีวิทยา  อุทกธรณีวิทยา  ธรณีฟิสิกส์  ธรณีเคมี  และจะต้องเจาะสำรวจต่อไปด้วย  เพื่อที่จะให้ทราบข้อมูลที่แน่นอน

 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ
 โดยเหตุที่การสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นงานใหม่ซึ่งเพิ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งแรก  ดังนั้นจึงมีปัญหาเกิดขึ้นหลายด้าน  ปัญหาสำคุญที่พบได้แก่
 - ปัญหาขาดผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์โดยตรงด้านการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพ  ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลบางอย่าง จำเป็นต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจาก  ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่มีประสบการณืด้านนี้โดยตรงมาช่วย  เช่น  ญี่ปุ่น  ฝรั่งเศส  นิวซีแลนด์  สหรัฐอเมรกา  อย่างไรก็ตาม  ในระยะหลังโครงการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น และ BRGM (Bureu De Recherches Geologiques ET Minieres)  แห่งฝรั่งเศส  ซึ่งส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วย ทำให้งานดำเนินไปได้ดียิ่งขึ้น  และปัญหานี้คณะทำงาน  ได้พยายามแก้ไขโดยส่งเจ้าหน้าที่   ไปเข้ารับการฝึกอบรมในต่างประเทศเพื่อหาความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์มาใช้ในการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศในอนาคต
 - ปัญกฃหาการขาดเครื่องมือและอุปกรณ์ในการสำรวจ  โดยปรกติการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพต้องใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์มากมาย คล้ายคลึงกับการสำรวจหาน้ำมัน  เช่นเครื่องมือสำรวจทางธรณีวิทยา ธรณีฟิสิกส์ ธรณีเคมี ฯลฯ  การจัดหาเครื่องมือเหล่านี้มาใช้ต้องการงบประมาณไม่ใช่น้อย  ดังนั้นในปัจจุบันจึงยังมีไม่ครบถ้วนและจำเป็นต้องจัดหามาเพิ่มเท่าที่งบประมาณจะอำนวย  ในปี พ.ศ. รัฐบาลญี่ปุ่น ได้มอบอุปกรณ์วัดหลุมเจาะ  และเครื่องมือเจาะสำรวจที่มีความสามารถในการเจาะถึง  2,000 เมตร  มูลค่ารวมประมาณ  30  ล้านบาท  ไว้ให้ใช้ในโครงการฯ  ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก
 - ปัญหาด้านการลงทุนสำรวจ  การสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นงานที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เช่นเดียวกับการสำรวจน้ำมัน  ดังนั้นเมื่อมองในสายตาของคนทั่วไปแล้วนับว่าเสี่ยงต่อการลงทุน  เพราะอาจจะพบหรือไม่พบแหล่งความร้อนที่ใหญ่พอได้  ถ้าพบแหล่งใหญ่ก็นับว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนไป  แต่ถ้าไม่พบก็เท่ากับสูญเงินไป  ดังนั้นจึงมีไม่กี่หน่วยงานที่จัดสรรงบประมาณลงทุนในเรื่องนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดีนัก  ในปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  ได้จัดสรรงบประมาณการสำรวจไปจำนวนไม่น้อย  เพราะมองเห็นความสำคัญของการแสวงหาและพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ในประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์  อย่างไรก็ตามหากพบแหล่งพลังงานที่ไม่ใหญ่พอที่จะใช้ผลิตไฟฟ้า  ก็ควรถือว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลในแง่ที่ทำให้สามารถยืนยันได้อย่างมีหลักฐานแน่ชัดว่า  มีพลังงานความร้อนใต้พิภพอยู่แค่ไหน  และหากหน่วยงานอื่นภายในประเทศสามารถใช้ประโยชน์ได้  ก็จพนำไปใช้ต่อไป  ในปัจจุบันคณะทำงานฯ ได้พยายามขอความร่วมมือจากต่างประเทศในด้านการสำรวจ  ทั้งนี้เพื่อให้การสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพขยายตัวออกไปได้รวดเร็วขึ้น  โดยไม่ต้องรองบประมาณจากหน่วยงานในประเทศอย่างเดียว  เพราะยังมีแหล่งน้ำพุร้อนอีกหลายแห่งนอกจากในภาคเหนือ  ที่น่าสำรวจในรายละเอียด

10.  แนวโน้มของการนำเอาพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ในประเทศไทย
 10.1  ด้านการผลิตกระแสไฟฟ้า  ปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพ แบบสองวงจร กำลังผลิต 300 กิโลวัตต์ ที่แหล่งน้ำพุร้อนอำเภอฝาง และได้เริ่มเดินเครื่องจ่ายไฟสู่ระบบตั้งแต่วันที่  5  ธันวาคม  2532
 10.2  ด้านการท่องเที่ยว  โดยปรกติแหล่งที่มีพลังงานความร้อนใต้พิภพ  จะมีน้ำพุผุดขึ้นในบริเวณนั้น  ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว  และเป็นเวลานานแล้วที่แหล่งน้ำพุร้อนต่างๆ  ในประเทศมีนักท่องเที่ยวไปพักผ่อนหย่อนใจกันอยู่เสมอ  อย่างไรก็ตามน้ำพุร้อนที่มีอยู่ในแหล่งธรรมชาติส่วนใหญ่จะเป็นน้ำพุร้อนเล็กๆ  ที่ดึงดูดความสนใจได้ไม่มากนัก  แต่หลังจากที่มีการเจาะสำรวจทั้งที่แหล่งสันกำแพง  และแหล่งฝาง  ก็ปรากฏว่ามีน้พุร้อนจากหลุมเจาะเกิดขึ้น  มีความสูงเฉลี่ยตั้งแต่  5 - 10 เมตร  สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล  และเป็นของแปลกสำหรับผู้ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน  สำหรับในประเทศไทยแล้วนับเป็นครั้งแรกที่ปรากฏน้ำพุผุดขึ้นสูงขนาดนี้ จึงเป็นข้อดีในการท่องเที่ยว  นอกจากนี้น้ำพุร้อนยังเป็นน้ำร้อนที่มีแร่ธาตุปนอยู่  ซึ่งเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติพิเศษในการรักษาโรคผิวหนัง และโรคไขข้ออักเสบได้   ทั้งช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้ดีเมื่อนำมาอาบ  สำหรับน้ำจากแหล่งสันกำแพง  และฝาง  คณะสำรวจฯ  ได้วิเคราะห์แล้วพบว่า  เป็นน้ำแร่ที่คุณสมบัติดีสามารถใช้อาบได้โดยปลอดภัย  จึงเป็นข้อดีอีกประการหนึ่งของน้ำพุร้อนซึ่งสมควรได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว   ในปร พ.ศ.  2526  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหมู่บ้านสหกรณ์ สันกำแพง ได้เริ่มพัฒนาแหล่งน้ำพุร้อนสันกำแพงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยขอความร่วมมือมายัง  คณะทำงานโครงการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพในการเจาะหลุมสำรวจซ้ำ (Ream) เพื่อให้น้ำร้อนพุ่งขึ้นสะดวกขึ้น  และขอให้ช่วยกำหนดแนววางท่อน้ำร้อนจากหลุมเจาะไปยังห้องอาบน้ำแร่ด้วย  ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพงเองก็ตกแต่งบริเวณให้สวยงาม  และสร้างห้องอาบน้ำแร่ขึ้น  งานดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยในปลายปี  2527   บริเวณแหล่งน้ำพุร้อนสันกำแพงในพื้นที่  0.75  ตารางกิโลเมตร  จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่  ซึ่งมีนักท่องเที่ยวพากันไปชมและอาบน้ำแร่กันจำนวนไม่น้อย  เพราะการเดินทางสะดวกและอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง  36  กิโลเมตร เท่านั้น  เชื่อว่าจะสามารถทำรายได้จากการท่องเที่ยวมาสู่ท้องถิ่นปีละจำนวนไม่น้อย  สำหรับที่ฝาง  บริเวณที่แหล่งน้ำพุร้อนเป็นเขตอุทยานแห่งชาติของกรมป่าไม้  และมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันอยู่แล้ว  อย่างไรก็ตามหลังจากมีการเจาะสำรวจพบน้ำร้อน  กรมป่าไม้ดำริที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้น่าสนใจยิ่งขึ้น  โดยใช้น้ำพุร้อนดึงดูดนักท่องเที่ยว  และพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของประเทศ
 10.3  ด้านการเกษตร  แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตรได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอบเมล็ดพันธ์พืชหรือผลผลิตต่างๆ  และสำหรับแหล่งน้ำพุร้อนที่สันกำแพง  และฝาง  ก็มีโรงการนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตรเช่น  ที่สันกำแพงนั้น  คณะวิศวกรรมศาสคร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ได้ทดลองใช้ความร้อนจากแหล่งน้ำพุร้อนมาอบใบยาสูบ  ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของประชาชนบริเวณนั้น  ปรากฏว่าได้ผลดี คณะวิศวกรรมศาสตร์จึงมีโครงการที่จะพัฒนาใช้ประโยชน์ทางด้านนี้    และที่แหล่งอำเภอฝาง  ปัจจุบันก็ได้มีการเอาพลังงานความร้อน  จากน้ำร้อนที่ปล่อยออกมาจากโรงไฟฟ้าไปใช้ในการอบพืชผลทางการเกษตร  และใช้ร่วมกับห้องเย็นเก็บพืชผลทางการเกษตร  การปรับอากาศในห้องประชุม โดยเครื่องปรับการอากาศแบบดูดละลาย (Absorption Sytem) ซึ่งใช้พลังงานจากน้ำร้อนที่ปล่อยออกจากโรงไฟฟ้า  และปริมาณน้ำร้อนทั้งหมดก็จะถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำให้กับแม่น้ำเพื่อการเกษตรต่อไป

11.  สรุป
 พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นพลังงานธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในโลก และได้มีการนำเอามาใช้ประโยชน์กันเป็นเวลานานกว่า  80  ปีแล้ว   ทั้งในด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม  ปรกติแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมักจะอยู่ในประเทศที่มีภูเขาไฟและบริเวณใกล้เคียง  ในปัจจุบันหลายประเทศกำลังเร่งสำรวจเพื่อนำพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างในด้านการผลิตกระแสไฟฟ้า  สำหรับประเทศไทยเราแม้จะไม่ได้อยู่ในเขตภูเขาไฟ  แต่ก็มีแหล่งน้ำพุร้อนอยู่ทั่วไป  ซึ่งได้สำรวจและนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้า ในขนาดเล็ก ใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตร และการท่องเที่ยวแล้ว .......................
GOTO TOP